วิตามินเอ คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร มีความจำเป็นต่อร่างกายของคนเราแค่ไหน?
| By joy
วิตามินเอ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก แต่ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตเองได้ จะต้องได้รับมาจากการกินอาหารเท่านั้น ซึ่งก็ต้องกินในปริมาณที่เหมาะสมด้วย เพราะการกินวิตามินเอน้อยไป หรือกินมากไป ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งนั้น ส่วนการกินวิตามินเอ แบบอาหารเสริม ก็อาจไม่จำเป็นมากนัก เพราะมีอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ให้เราสามารถเลือกกินได้ จำนวนมากมายหลายชนิดอยู่แล้ว
วิตามินเอ คืออะไร
วิตามินเอหรือ Vitamin A คือวิตามินที่สามารถละลายได้ในไขมัน ต้องใช้ไขมันและแร่ธาตุ มาช่วยในการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เป็นวิตามินที่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ การเจริญเติบโต การสร้างกระดูก และช่วยป้องกันการติดเชื้อ ของระบบทางเดินอาหาร
วิตามินเอเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ จะมีการสะสมได้จากอาหารต่าง ๆ ที่กินเข้าไป เมื่อมีความจำเป็นจะต้องใช้ จึงจะดึงออกมาใช้งาน
วิตามินเอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
1 วิตามินเอที่อยู่ในรูปแบบวิตามินอยู่แล้ว หรือเรียกว่า Retinol ซึ่งจะพบได้จากเนื้อสัตว์ เช่น ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา และน้ำนม
2 วิตามินเอที่กำลังจะเป็นวิตามินเอ หรือเรียกว่า Beta Carotene คือเมื่อเข้าสู่รางกาย จึงจะทำการเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ พบได้จากผัก เช่น แครอท ผักโขม บร็อคโคลี่ และฟักทอง
วิตามินเอมีประโยชน์อย่างไร
1 ช่วยบำรุงระบบทางสายตา และช่วยการมองเห็นให้ดีขึ้น
2 ช่วยการมองเห็นในที่มืด และป้องกันการแพ้แสงต่าง ๆ ที่เป็นผลเสียต่อสายตา
3 ช่วยให้ตาสู้แสงได้ในเวลากลางวัน ถ้าหากขาดวิตามินเอ จะมีอาการตาไม่สู้แสงตอนเจอแสงแดด ตาจะไวต่อแสง จะแสบตา และทำให้น้ำตาไหลได้ง่าย
4 ช่วยรักษาโรคตาฟาง หรือตาบอดในตอนกลางคืน เพราะคนเป็นโรคนี้ จะมองในที่มืดไม่ชัด หรืออาจจะมองไม่เห็นเลย
5 ช่วยบำรุงรักษา ‘เซลล์ชนิดบุผิว’ ของอวัยวะภายในร่างกาย เช่น เยื่อบุตาขาว เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุทางเดินหายใจ และเยื่อบุทางเดินอาหาร ให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา
6 ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ให้ทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น เพราะหากร่างกายขาดวิตามินเอ จะส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรง อาจจะแตกและหักได้ง่าย รวมทั้งอาจทำให้ฟันผุง่ายกว่าปกติด้วย
7 ช่วยรักษาสิว ลดอาการอักเสบของสิว ให้ยุบได้อย่างรวดเร็ว และไม่ลุกลาม
8 ช่วยป้องกันผิวแห้ง แตกลายงา หรือแตกเป็นเกล็ด
9 ช่วยไม่ให้เหงื่อออกง่าย เพราะเข้าไปเพิ่มเคราตินในผิวชั้นนอก ทำให้เยื่อบุมีความหนาขึ้น และเหงื่อออกน้อยลง
10 ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้เกิดการสร้างอสุจิในผู้ชายได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันการแท้งลูกในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์
11 ช่วยสร้างภูมิต้านทานที่ดีให้กับร่างกาย และช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ หากร่างกายขาดวิตามินเอ
- ความต้านทานโรคต่ำ อาจติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจง่าย และอาจเกิดการอักเสบ ที่ต่อมน้ำลาย ในโพรงจมูก ช่องปาก และคอได้
- เยื่อบุตาแห้งและอักเสบ ทำให้เปลือกตาบวม และมีเม็ดขาวขุ่นขึ้นที่กระจกตา ถ้าไม่รีบรักษา อาจทำให้ตาบอดได้
- ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะบริเวณข้อศอก และตาตุ่ม
- ทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืน หรือในที่แสงสว่างน้อย
สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้าร่างกายได้รับวิตามินเอมากเกินไป
- เจ็บกระดูกและข้อต่อ
- เบื่ออาหาร
- เซื่องซึม
- นอนไม่หลับ
- กระวนกระวาย
- ผมร่วง
- ปวดศีรษะ
- ท้องผูก
- หากร่างกายได้รับวิตามินเอ เกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย และอาเจียนได้
- หญิงตั้งครรภ์ ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไป มีความเสี่ยงจะแท้ง หรือทารกคลอดออกมาพิการ หรืออาจทำให้เด็กมีความผิดปกติ ที่ทางเดินปัสสาวะ หรือกระดูกผิดรูปได้
แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอ
ร่างกายของเรา ไม่สามารถผลิตวิตามินเอเองได้ แต่เราจะได้รับวิตามินเอ จากอาหารที่กินเข้าไป โดยผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอ ส่วนใหญ่จะมี สีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีเขียวเข้ม ได้แก่
1 อาหารที่มีวิตามินเอ และร่างกายสามารถดูดซึม แล้วนำไปใช้ได้ทันที เมื่อผ่านกระบวนการเผาผลาญ เช่น นม ไข่แดง ตับ เนื้อสัตว์ น้ำมันตับปลา
2 อาหารที่กินเข้าไปแล้ว จะถูกกลไกในร่างกาย เปลี่ยนแปลงให้เป็นวิตามินเอ ก่อนที่จะนำไปใช้งาน ได้แก่
- ผักต่าง ๆ เช่น แครอท ตำลึง คะน้า ผักโขม ยอดชะอม ยอดกระถิ่น ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว และกะหล่ำปลี
- ผลไม้ต่าง ๆ เช่น แตงโม มะละกอ แคนตาลูป ฟักทอง มะม่วงสุก กล้วยหอม เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก https://amprohealth.com/nutrition/vitamin-a/
ติดตามข่าวสารอื่น ๆ ได้ที่ Girl Variety ชุมชนสำหรับผู้หญิง